ทำยังไงให้ ลูกเก่งภาษา เสริมพัฒนาการด้านภาษาให้สมบูรณ์ ในแต่ละช่วงวัย

หน้าแรก/พัฒนาการเด็ก/ทำยังไงให้ ลูกเก่งภาษา เสริมพัฒนาการด้านภาษาให้สมบูรณ์ ในแต่ละช่วงวัย
ทำยังไงให้ ลูกเก่งภาษา เสริมพัฒนาการด้านภาษาให้สมบูรณ์ ในแต่ละช่วงวัย

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชี้ ร้อยละ 30 ของเด็กไทยมีปัญหาพัฒนาการด้านภาษา แนะ 3 เคล็ดลับ ลูกเก่งภาษา และการเสริมพัฒนาการ เตรียมความพร้อมให้ลูกสู่การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด

ปัจจุบันพบว่าเด็กไทยกำลังมีปัญหาหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะปัญหาด้านทักษะภาษา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในเด็กไทยถึงร้อยละ 20-30 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพ่อแม่มีเวลาที่จะพูดคุยกับลูกอย่างมีคุณภาพน้อยลง ทั้งที่จริงแล้ว สมองเด็กเรียนรู้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ สังเกตว่าคุณหมอจะแนะนำให้พ่อแม่ลูบท้องและพูดคุยกับลูกบ่อยๆ พอลูกคลอดออกมา แม้ลูกจะยังพูดไม่ได้ แต่เสียงร้องของลูก ก็เป็นวิธีการสื่อสารอย่างหนึ่ง

หากพ่อแม่พูดคุยกับลูกบ่อยๆ เด็กจะจดจำสิ่งที่พ่อแม่พูด คำศัพท์ น้ำเสียง และท่าทาง เมื่อถึงวัย ลูกก็จะสามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ ช่วยให้ ลูกเก่งภาษา ได้ง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากพ่อแม่ไม่มีเวลาคุยกับลูก หรือฝากคนอื่นดูแล ซึ่งผู้ดูแลอาจจะไม่สามารถดูแลเด็กได้ตลอด จึงใช้วิธีเปิดทีวีหรือให้เล่นแท็บเล็ตทั้งวันซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว ส่งผลให้ลูกมีปัญหาพัฒนาการด้านภาษา เพราะเด็กรับฟังอย่างเดียวไม่ต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้

อีกปัญหาที่มีแนวโน้มจะพบมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ เด็กมีพัฒนาการล่าช้าไม่สมวัย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งพบมากขึ้นถึงร้อยละ 10-20 เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของพ่อแม่ในปัจจุบันที่ต้องเร่งรีบจึงลงมือทำทุกอย่างให้ลูก ไม่ได้ปล่อยให้ลูกมีโอกาสทดลองทำเอง เช่น เด็กวัย 1 ขวบ ควรฝึกให้รับประทานอาหารเอง แต่บางครอบครัวพอเห็นลูกไม่ยอมทานหรือกลัวลูกทานเลอะเทอะก็จะป้อนให้

หรืออย่างเด็กวัย 3 ขวบที่พอจะแต่งตัวเองได้บ้าง แต่ไม่เคยฝึกให้ลูกทำ พอไปโรงเรียน เด็กก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยิ่งมีการเปรียบเทียบว่าลูกทำไม่ได้เหมือนเพื่อน อาจส่งผลให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง ส่งผลต่อการเรียนรู้ภายในห้องได้

หากเด็กมีปัญหาด้านภาษาและทักษะการช่วยเหลือตัวเองจะทำให้พัฒนาการของลูกสะดุด โดยเฉพาะพัฒนาการด้านสังคมจนส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในอนาคตด้วย เพราะทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ

วิธีการที่จะเสริมสร้างพัฒนาการลูกให้เหมาะสมกับวัยก็มีเคล็ดลับง่ายๆ 3 เรื่อง คือ

1. ให้ลูกได้รับโภชนาการที่ดี เริ่มได้ตั้งแต่ในครรภ์ เพราะโครงสร้างสมองและร่างกายสร้างตั้งแต่ในครรภ์ ดังนั้นคุณแม่ควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อสมอง เช่น ดีเอชเอ โคลีน ไอโอดีน โฟเลต ฯลฯ การที่เด็กได้รับโภชนาการที่ดีจะช่วยพัฒนาโครงสร้างของร่างกายและสมอง มีสุขภาพที่แข็งแรง เจ็บป่วยน้อยลง ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้ลูกสู่การเรียนรู้ด้านต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ในช่วงตั้งครรภ์จนถึงวัย 6 เดือน ลูกควรได้รับสารอาหารผ่านน้ำนมแม่เพราะเต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก หลังจากนั้นอาจให้ลูกรับประทานนมแม่ต่อร่วมกับอาหารเสริมตามวัย หรือให้นมผสมร่วมกับอาหารเสริมตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว

2. กระบวนการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันและการเล่น เด็กๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวผ่านการเล่นและการลงมือทำ พ่อแม่จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างพัฒนาการให้เกิดขึ้นตามช่วงวัย เช่น ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนแรก เป็นช่วงที่พ่อแม่ต้องให้การตอบสนองที่ดีต่อลูก เช่น เมื่อลูกหิวต้องได้ทาน เมื่อลูกร้องต้องได้รับการกอดปลอบประโลม พออายุ 6 เดือน – 1 ปี สอนให้เด็กเริ่มเรียนรู้มากขึ้น รู้จักอดทนรอคอย เช่น พอหิวเห็นแม่กำลังเตรียมอาหาร ก็บอกให้รอ ช่วยฝึกวินัยให้กับลูก ช่วงอายุ 1-3 ปี ฝึกฝนทักษะต่างๆ ให้แก่ลูกผ่านการใช้ชีวิตประจำวันและการเล่น โดยพ่อแม่ควรเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยและบริบท เช่น ฝึกทักษะด้านภาษาผ่านการพูดคุย เล่านิทาน เพื่อให้ลูกจดจำคำศัพท์ หรือให้ลูกได้เล่นของเล่นเสริมพัฒนาการตามวัยตามความสามารถและความสนใจ เช่น โมบายล์สีสด ตัวต่อไม้ ฝึกแยกแยะสี ขนาด หาของที่ซ่อน นอกจากนี้ พ่อแม่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของลูกได้ ผ่านการชี้ชวนและการตั้งคำถามจากสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ลูกพบเห็น เพื่อฝึกสังเกต คิดวิเคราะห์ วางแผน และแก้ไขปัญหา

3. การเรียนรู้ในโรงเรียน พ่อแม่มักจะคาดหวังว่าการเข้าโรงเรียนจะทำให้ลูกเก่งหรือฉลาดขึ้น แต่จริงๆ แล้ว พ่อแม่ควรฝึกทักษะและพัฒนาการของลูกตั้งแต่เล็กๆ เพราะการเรียนรู้ในโรงเรียนอนุบาลถือเป็นการต่อยอดการเรียนรู้จากที่บ้าน ที่สำคัญ ไม่มีโรงเรียนไหนดีหรือไม่ดี ขึ้นกับว่าโรงเรียนไหนเหมาะสมกับลูกเรา เด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เด็กบางคนอาจเหมาะสมกับโรงเรียนแบบบูรณาการ แต่บางคนอาจเหมาะสมกับโรงเรียนระบบวิชาการทั่วไป พ่อแม่ไม่ควรตามเทรนด์เกินไป แต่ควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกเราจะได้รับ สำคัญที่สุด หากพ่อแม่สามารถเสริมทักษะและพัฒนาการขั้นพื้นฐานได้ตั้งแต่ที่บ้าน การเรียนรู้ที่โรงเรียนก็จะช่วยต่อยอดการเรียนรู้ของลูกได้ดียิ่งขึ้น


ข้อมูลโดย นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช