อาการสมาธิสั้น ภัยเงียบของเด็ก ที่ไม่ร้ายแรงแต่มีโอกาสเรื้อรัง

หน้าแรก/พัฒนาการเด็ก/อาการสมาธิสั้น ภัยเงียบของเด็ก ที่ไม่ร้ายแรงแต่มีโอกาสเรื้อรัง
อาการสมาธิสั้น ภัยเงียบของเด็ก ที่ไม่ร้ายแรงแต่มีโอกาสเรื้อรัง

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็กและผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ในมุมหนึ่งเทคโนโลยีถือเป็นตัวช่วยให้เด็กๆสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว แต่เทคโนโลยีก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะอาจก่อให้เกิดโทษแก่เด็กได้ โดยเฉพาะหากผู้ใหญ่ที่ปล่อยให้เด็กใช้เทคโนโลยีบางประเภท อาทิสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตติดต่อกันเป็นเวลานานและไม่มีการควบคุมระยะเวลาการใช้งาน อาจมีผลเสียที่ร้ายแรงต่อเด็กทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่าการใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมีผลทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น* โดยมีโอกาสเพียง 15-20% เท่านั้นที่สามารถหายขาดเองได้โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา ในขณะที่80-85%ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และจะเป็นโรคสมาธิสั้นจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ส่งผลกระทบต่อความคิด การวางแผน และการจัดการบริหารชีวิต จากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า

ดังนั้นการสังเกตรู้เท่าทันอาการ ยอมรับเพื่อรักษาอาการ อาจจะจะช่วยให้โรคสมาธิสั้นแก้ไขได้ทันการและหายขาดก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โรคสมาธิสั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือคนในครอบครัวควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมและใส่ใจเด็กๆ

คุณภูชิชย์ ฝูงชมเชย นักกิจกรรมบำบัด จากศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2 ในเครือโรงพยาบาล BDMSกล่าวว่า

“การสังเกต อาการสมาธิสั้น ในเด็กควรเริ่มจากการพิจารณาอายุของเด็กกับระยะเวลาของกิจกรรมที่เด็กทำก่อนว่ามีระยะเวลานานเกินไปหรือไม่ โดยนำอายุเด็กมาคูณด้วยสาม ซึ่งจะเท่ากับจำนวนนาทีที่เด็กสามารถอยู่ในสมาธิได้ อาทิ เด็ก 5 ขวบ ควรจะมีสมาธิและสามารถจดจ่ออยู่กับการทำกิจกรรมต่างๆได้ประมาณ 15 นาที”

การสังเกต อาการสมาธิสั้น เบื้องต้นมี 2 แนวทางดังนี้

  1. สังเกตว่าเด็กมีอาการขาดสมาธิหรือไม่ โดยเด็กที่มีอาการขาดสมาธิจะมีอาการ 6 ใน 9 ข้อได้แก่ละเลยในรายละเอียดหรือทำผิดด้วยความเลินเล่อ, มีความยากลำบากในการตั้งสมาธิ,ดูเหมือนไม่ฟังเวลาคนอื่นพูดด้วย,ทำตามคำสั่งไม่จบหรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ,มีความยากลำบากในการจัดระเบียบงานหรือกิจกรรม,หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม,มักทำของหายบ่อยๆ,วอกแวกสนใจสิ่งเร้าภายนอกง่ายและหลงลืมทำกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ
  2. สังเกตว่าเด็กมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และหุนหันพลันแล่นหรือไม่ โดยจะต้องมีอาการ 6 ใน 9 ข้อ ประกอบด้วย ยุกยิก ขยับตัวไปมา,นั่งไม่ติดที่ ชอบลุกเดิน, ไม่สนใจเมื่อมีผู้พูดด้วย, ไม่สามารถเล่นเงียบๆ ได้,เคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา, พูดเยอะเกิน,พูดโพล่งขึ้นมาก่อนถามจบประโยค, มีความยากลำบากในการรอคอยและขัดจังหวะหรือพูดแทรกผู้อื่นในกลุ่มสนทนาหรือกลุ่มเล่น

โดยเด็กจะต้องมีอาการเหล่านี้ก่อน 12 ขวบ และแสดงอาการต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน หากผู้ปกครองสังเกตเห็นว่าบุตรหลานมีอาการเหล่านี้ ควรพาบุตรหลานไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรคโดยละเอียดต่อไป

ท้ายนี้วิธีการปฏิบัติกับเด็กๆด้วย หลัก 3R ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลเด็กๆ และประยุกต์ใช้ได้จริงในการดูแลบุตรหลาน คือ

Relationship ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวกับเด็ก ไม่ใช่การหยิบยื่นแค่ของเล่นให้แก่เด็ก ควรเล่นด้วยกันกับเด็ก หรือมีกิจกรรมร่วมกัน เช่นการเล่านิทานก่อนนอน

Reinforcement การชื่นชมหรือให้รางวัลแก่เด็กแบบพอดีเมื่อเด็กทำดี ซึ่งต้องเป็นการชมที่เจาะจงว่าพฤติกรรมอะไรที่เด็กทำดี เช่น เก็บของเล่นเข้าที่เองได้ หรืออาบน้ำแปรงฟันด้วยตัวเองได้ และ

Rules กฎระเบียบที่ไม่เข้มงวดหรือหย่อนยานเกิน และผู้ปกครองควรปฏิบัติกฎนั้นอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ พร้อมกับการมีต้นแบบที่ดีซึ่งผู้ที่จะเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดแก่ลูก คือพ่อแม่ และผู้ปกครองเด็กนั่นเอง