คำแนะนำของคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ที่คุณแม่ควรรู้

หน้าแรก/การตั้งครรภ์/คำแนะนำของคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ที่คุณแม่ควรรู้
คำแนะนำของคุณแม่ตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ที่คุณแม่ควรรู้

คนตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เฝ้าระวังในการคลอดแล้ว ซึ่งมาถึงไตรมาสสุดท้ายนี้ คุณต้องเตรียมตัวในเรื่องของการคลอดไว้แล้ว หากเกิดเรื่องฉุกเฉิน คุณจะได้ไม่ตกใจจนเกินไป เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาพูดถึงคำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่ท้องในไตรมาสที่ 3 กันดีกว่าเพื่อจะได้เตรียมตัวถูก

สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายให้เราดูที่น้ำหนักใน 3 เดือนสุดท้ายนี้ น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นอีก 6 กิโลกรัม คือ เพิ่มอย่างน้อยเดือนละ 2 กิโลกรัม ถ้าเกินมากไปกว่านี้มาก คุณอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ในเรื่องของการทานอาหารแล้ว เพราะจะส่งผลให้เวลาหลังคลอดแล้วน้ำหนักลดยาก กลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาได้ และในช่วงนี้คุณแม่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น เพระว่าศีรษะของลูกเคลื่อนต่ำลง คุณจะเหนื่อยง่ายนอนไม่ค่อยหลับ อึดอัด และอาจทำให้คุณแม่รู้สึกปวดหลังด้วยจากการที่ต้องแบกทั้งน้ำหนักตัวเองและน้ำหนักของลูกด้วย คุณแม่อาจเป็นตะคริวบ่อยหน่อย เพราะว่าขาต้องรับน้ำหนักมาก หรือตัวเองอาจทานแคลเซียมไม่พอ

โดยถ้าคุณเป็นตะคริวบ่อย หมอจะแนะนำให้คุณทานโปรตีนและแคลเซียมให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดตะคริวในเบื้องต้น และในช่วงนี้คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์ถี่ขึ้น เพื่อดูระดับน้ำตาลและโปรตีนให้อยู่ในค่าที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้าค่าผิดปกติอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ได้ รวมถึงติดตามอาการบวมด้วย เพื่อดูว่าคุณแม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่ และให้คอยสังเกตตรงหัวนมและลานนมจะมีไขมันมาปกคลุมบริเวณนั้น เวลาที่คุณแม่อาบน้ำไม่ควรฟอกสบู่มากไป เพราะทำให้หัวนมแห้งแตก เกิดการแสบได้ เป็นต้น

หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดสดๆ ออกมาจากช่องคลอด มีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด มีอาการท้องแข็งหรือเจ็บท้องถี่ๆ หรือลูกดิ้นน้อยลง รวมถึงการปวดหัว ตาพร่า จุกแน่นลิ้นปี่ แบบนี้ต้องรีบมาหาหมอโดยด่วน เพื่อให้รีบทำการตรวจรักษา เพราะถ้ามาช้าอาจส่งผลต่อลูกในครรภ์ได้

ทั้งหมดนี้คือ คำแนะนำที่คุณแม่ไตรมาส 3 ควรทำตาม เพื่อให้คุณได้เตรียมตัวรับมือกับช่วงใกล้คลอดอย่างเต็มที่ และคุณเองต้องเรียนรู้วิธีคลอดไว้บ้าง ว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอด เสียค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง วันคลอดจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องวางแผนเพราะว่าถ้าฉุกเฉินขึ้นมา แล้วทำอะไรไม่ถูกมันจะยิ่งมั่วและฉุกละหุกมาก และคนใกล้ตัวของคุณแม่ต้องเรียนรู้ในข้อนี้ด้วย เพื่อจะได้ช่วยได้แบบไม่เคอะเขิน