อีกหนึ่งรสชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของอาหารไทยก็คือ รสเผ็ด แต่คุณแม่ ตั้งครรภ์ ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น เมื่อมีลูกน้อยอยู่ในท้อง โดยข้อดีของการทานเผ็ดก็มีประโยชน์ เนื่องจากสารแคปไซซินในพริกจะช่วยลดอาการเจ็บปวดทางร่างกาย ลดการอุดตันของเส้นเลือด บรรเทาอาการหวัดเป็นต้น แต่สำหรับคนท้องนั้นฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวและบีบตัวช้าลง กระเพาะอาหารทำงานช้าลงเป็นกลไกป้องกันการแท้งอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ รสเผ็ดในพริกมีสารที่เรียกว่า Capsaicin และมีสูตรทางเคมีคือ C18H27NO3 ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยทำให้ประสาทรับความรู้สึกไหม้ที่เนื้อเยื่อ กระตุ้นการผลิตเมือกออกมาป้องกันการระคายเคืองและกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ด้วยเหตุนี้เอง สูติแพทย์จึงแนะนำคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ว่าไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดจัดเพราะมีผลต่อแม่ท้องโดยตรง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรับประทานเผ็ดของคุณแม่ไม่ได้ทำให้ลูกในท้องมีอาการแสบร้อนตัวแต่อย่างใด เช่นเดียวกับความเชื่อของคนไทยหลายคนที่กลัวว่า การรับประทานเผ็ดทำให้ลูกที่คลอดออกมาหัวล้าน หรือ มีผมน้อย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะไม่ได้มีมีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน ทว่าการทานอาหารเผ็ดเกินไปก็มีข้อเสียและผลกระทบต่อทารกในครรภ์ดังนี้
ในส่วนของคุณแม่ ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวและบีบตัวช้าลง กระเพาะอาหารทำงานช้าลงเป็นกลไกป้องกันการแท้งอย่างหนึ่ง เมื่อระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงอาจทำให้คนท้องเกิดอาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์ มีอาการแสบร้อนกลางอก ยิ่งถ้าหากกินอาหารรสเผ็ดจัดตามลงไปด้วยก็จะยิ่งเพิ่มดีกรีความแสบร้อนทรมานมากขึ้นไปอีก
ขณะที่การทานอาหารรสเผ็ดยังอาจทำให้ปวดท้อง กระเพาะอาหารระคายเคืองเกิดการอักเสบทำให้ระบบทางเดินอาหารผิดปรกติ ไม่อาจดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงลูกในท้องได้เพียงพอ ทำให้เด็กโตช้าพัฒนาการด้านต่าง ๆ ทำได้ไม่เต็มที่ และอาจมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อนตามมาส่งผลเสียต่อสุขภาพของแม่และทารกในท้อง
อนึ่ง การทานอาหารเผ็ดบ่อยและมากเกินไป ยังทำให้คุณแม่มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะได้ง่ายกว่าปกติ เพราะตอนตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีภาวะท้องอืด รับประทานอาหารได้น้อย มดลูกดันกระเพาะอาหาร หูรูดที่หลอดอาหารของแม่ท้องไม่แน่นเหมือนคนปกติ เมื่อรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดมาก และอาจมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อนตามมา ที่ไม่ดีแน่นอนต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกในครรภ์
